วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

แนะนำบล็อกครับ

ขอแนะนำบล็อกแก่เพื่อนๆชาวเฟสครับ บล็อกที่สร้างขึ้นมานี้เป็นที่รวบรวมผลงานหนังสือนิทานอีบุ้ค (e-book) หรือหนังสือนิทานอิเล็กทรอนิกส์ ผลงานทั้งหมดจัดทำขึ้นโดยนักศึกษาครุศาสตร์สาขาวิชาภาษาไทยชั้นปีที่3ที่เรียนในรายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสาน
สนเทศเพื่อการศึกษา สอนโดย อาจารย์อัจฉริยะ วะทา โดยบล็อกนี้มีชื่อว่า atinno.blogspot.com
มีหนังสือนิทานอีบุ้คที่เป็นฝีมือของนักศึกษาในหลายๆ สาขา หลายเรื่องน่าอ่านและสามารถโหลดเก็บไว้หรือนำไปสอนได้ด้วย

นอกจากนี้ก็ยังรวมผลงานการจัดทำบล็อกของนักศึกษาแต่ละสาขาวิชา จัดทำเพื่อเผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับความรู้ที่น่าสนใจไว้มากมาย
ตัวอย่างบล็อกครับ มีให้เลือชมมากมาย และใครที่สนใจจะสร้างอีบุ๊คและหนังสือทำมือเชิญเลยน่ะครับ แวะเข้ามาชมบล็อกของผมได้ที่http://nongpeaw.blogspot.com/

สุภาษิตสอนหญิง


สุภาษิตสอนหญิง

  • เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาพิเคราะห์ให้เหมาะความ
๏ประนมหัตถ์นมัสการขึ้นเหนือเศียร ต่างประทีปโกสุมปทุมเทียน อันเป็นมิ่งโมลีสี่ทวีป ก็ล่วงลับดับไกลนัยนา ฉันชื่อภู่ผู้ประดิษฐ์คิดสนอง ให้ประเสริฐเลิศล้ำด้วยคำคม
๏ ขอเจริญเรื่องตำรับฉบับสอน อันความชั่วอย่าให้มัวมีระคาย ผู้ใดเกิดเป็นสตรีอันมีศักดิ์ สงวนงามตามระบอบให้ชอบกล เป็นสาวแซ่แร่รวยสวยสะอาด แม้นแตกร้าวรานร่อยถอยราคา อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง
๏ จะนุ่งห่มดูพอสมศักดิ์สงวน จะผัดหน้าทาแป้งแต่งอินทรีย์ จะเก็บไรไว้ผมให้สมพักตร์ เป็นสุภาพราบเรียบแลเจริญ ใครเห็นน้องต้องนิยมชมไม่ขาด ถึงรูปงามทรามสงวนนวลอนงค์
๏ ประการหนึ่งซึ่งจะเดินดำเนินนาด อย่าไกวแขนสุดแขนเขาห้ามปราม อย่าเดินกรายย้ายอกยกผ้าห่ม อย่าพูดเพ้อเจ้อไปไม่สู้ดี ให้กำหนดจดจำแต่คำชอบ อย่านุ่งผ้าพกใหญ่ใต้สะดือ อย่าลืมตัวมัวเดินให้เพลินจิต เป็นนารีที่ละอายหลายกระบวน อนึ่งเนตรอย่าสังเกตให้เกินนัก แม้นประสบพบเหล่าเจ้าชู้ชาย อันนัยน์ตาพาตัวให้มัวหมอง จริงมิจริงเขาเอาไปเล่าแช
จำนงเนียรนบบาทพระศาสดา ดังประทีปส่องทั่วทุกทิศา สู่มหาห้องนิพพานสำราญรมย์ ขอประคองคุณใส่ไว้เหนือผม โดยอารมณ์ดำริรักชักภิปราย
ชาวประชาราษฎรสิ้นทั้งหลาย จะสืบสายสุริยวงศ์เป็นมงคล บำรุงรักกายไว้ให้เป็นผล จึงจะพ้นภัยพาลการนินทา ก็หมายมาดเหมือนมณีอันมีค่า จะพลอยพาหอมหายจากกายนาง ดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหาง ให้ต้องอย่างกริยาเป็นนารี
ให้สมควรรับพักตร์ตามศักดิ์ศรี ดูฉวีผิวเนื้ออย่าเหลือเกิน บำรุงศักดิ์ตามศรีมิให้เขิน คงมีผู้สรรเสริญอนงค์ทรง ว่าฉลาดแต่งร่างเหมือนอย่างหงส์ ไม่รู้จักแต่งองค์ก็เสียงาม
ค่อยเยื้องยาตรยกย่องไปกลางสนาม เสงี่ยมงามสงวนไว้แต่ในที อย่าเสยผมกลางทางหว่างวิถี เหย้าเรือนมีกลับมาจึงหารือ ผิดระบอบแบบกระบวนอย่าควรถือ เขาจะลือว่าเล่นไม่เห็นควร ระวังปิดปกป้องของสงวน จงสงวนศักดิ์สง่าอย่าให้อาย จงรู้จักอาการประมาณหมาย อย่าชม้ายทำชะม้อยตะบอยแล เหมือนทำนองแนะออกบอกกระแส คนรังแกมันก็ว่านัยน์ตาคม
๏ อันที่จริงหญิงชายย่อมหมายรัก แม้นจักรักรักไว้ในอารมณ์ ดังพฤกษาต้องวายุพัดโบก จงยับยั้งช่างใจเสียให้ดี อันตัวนางเปรียบอย่างปทุเมศ หอมผกาเกสรขจรขจาย ครั้นได้ชมสมจิตพิศวาส ไม่อยู่เฝ้าเคล้ารสเที่ยวจดลอง แม้นชายใดหมายประสงค์มาหลงรัก อันความรักของชายนี้หลายชั้น จงพินิจพิศดูให้รู้แน่ เปรียบเหมือนคิดปริศนาอย่าไว้ใจ อันแม่สื่ออย่าได้ถือเป็นบรรทัด แต่ล้วนดีมีบุญลูกขุนนาง อันร้ายดีมิได้เห็นเป็นแต่ว่า เหมือนเขาหลอกบอกลาภถึงเมืองไกล ทางไกลตาอุปมาเหมือนเสียเนตร เขาจะนำไปตายก็ตายพลัน อันแม่สื่อคือปีศาจที่อาจหาญ อย่าเชื่อนักมักตับก็คับโครง อันความชั่วอยู่ที่ตัวของเราหมด จงฟังหูไว้หูกับผู้คน
๏ คิดถึงตัวหาผัวนี้หายาก คนสูบฝิ่นกินสุราพาจัญไร มักเบียดเบียนบีฑาประดาเสีย ไม่ทำมาหากินจนสิ้นตน ที่บางคนนั้นชั่วเป็นหัวไม้ ท่านจับได้ใส่ตรวจพรวดคอยาว เขาเป็นผัวตัวเมียเสียไม่ได้ ไปเสียลดเสียหลั่นพันธนา เพราะมีผัวชั่วไปจึงได้ยาก บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วมัวทนง มีข้าวของเคยผูกให้ลูกเต้า ลงชั้นว่าผ้าผ่อนท่อนสไบ ยังแต่เมียเกลี่ยไกล่ไปขายซื้อ ครั้นรักผัวก็อย่ามัวด้วยลมโลม จะคิดทำอย่างไรก็ใช่ที่ ถ้าคนผู้รู้สึกสำนึกตัว จะหาคู่สู่สมภิรมย์หวัง ที่ชายดีนั้นก็มีอยู่ถมไป แต่ใจคนมักรนไปหาผิด ต้องเดือดดิ้นกินน้ำตาอยู่นองเนือง
มิใช่จักตัดทางที่สร้างสม อย่ารักชมนอกหน้าเป็นราคี เขยื้อนโยกก็แต่กิ่งไม่ทิ้งที่ เหมือนจามรีรู้จักรักษากาย พึงประเวศผุดพ้นชลสาย มิได้วายภุมรินถวิลปอง ก็นิราศแรมจรัลผันผยอง ดูทำนองใจชายก็คล้ายกัน ให้รู้จักเชิงชายที่หมายมั่น เขาว่ารักรักนั้นประการใด อย่าทำแต่ใจเร็วจะเหลวไหล มันมักไพล่เพลงขุมเป็นหลุมพลาง สารพัดเขาจะพูดนี้สุดอย่าง มาอวดอ้างให้อนงค์หลงอาลัย จะคาดหน้าแน่ลงที่ตรงไหน อย่าควรให้ตามคำเขารำพัน สุดสังเกตเท็จจริงทุกสิ่งสรรพ์ คนทุกวันเชื่อมันยากปากมันโกง ใครบนบานเข้าสักหน่อยก็พลอยโผง มันชักโยงอยากกินแต่สินบน ต้องกำสรดโศกร้างอยู่กลางหน สืบยุบลเสียให้แน่อย่าแร่ไป
มันชั่วมากนะอนงค์อย่าหลงไหล แม้หญิงใดร่วมห้องจะต้องจน เหมือนเลี้ยงเหี้ยอัปรีย์ไม่มีผล แล้วซุกซนตีชิงเที่ยววิ่งราว ให้พอใจชกตีเขาหมี่ฉาว แล้วบอกข่าวโศกศัลย์ถึงภรรยา มีหาไม่เงินทองก็ต้องหา ค่าฤชาก็ต้องเสียขายเมียลง แสนลำบากบอบนักอย่ามักหลง หน่อยก็ลงจำนำเขาร่ำไป ก็เบียนเอาสิ้นสุดหาหยุดไม่ อย่าไปไขว้เล่นไปจนโซโทรม คอยหารือร่วมภิรมย์เมื่อชมโฉม ต่อล้มโครมแล้วก็ครวญหวนถึงตัว ต้องรับหนี้ยากแค้นใช้แทนผัว จะยังชั่วด้วยไม่เฉยซะเลยใจ จงระวังชั่วช้าอัชฌาสัย ใช่วิสัยเขาจะชั่วไปทั่วเมือง ครั้นได้คิดจิตตรอมออกผอมเหลือง สุดจะเปลื้องราคินจนสิ้นคาว
๏ เป็นสตรีสุดดีแต่เพียงผัว ลงจนสองสามจืดไม่ยืดยาว ถ้าคนดีมิได้ช้ำระยำยับ คงมีผู้ชูช่วยประคับประคอง ถ้าแม้นตัวชั่วช้ำระยำแล้ว เหมือนทองแดงแฝงเฝ้าเป็นราคี จงรักตัวอย่าให้มัวราคีหมอง อย่าเอาผิดมาเป็นชอบประกอบใจ แม้นรู้จักรักร่างเป็นอย่างยิ่ง จงกำหนดอุตส่าห์รักษาทรง อันคำคมลมบุรุษนั้นสุดกล้า จงระวังตั้งมั่นในสันดาน เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่ เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน ถ้าปะว่าแม่พ่อใจคอร้าย แม้นชายจนคนขัดพลัดเข้าตัว จะขึ้งโกรธโทษผู้ใหญ่ว่าไม่รัก ชั้นพ่อแม่ของตัวไม่กลัวเกรง ท่านเลี้ยงมาจะให้เป็นหอห้อง ครั้นลูกตัวชั่วถ่อยน้อยอารมณ์ แม้นลูกดีก็จะมีศรีสง่า ถึงเพื่อนบ้านฐานถิ่นที่ใกล้ไกล
จะดีชั่วก็ยังกำลังสาว จะกลับหลังอย่างสาวสิเต็มตรอง ถึงขัดสนจนทรัพย์ไม่เศร้าหมอง เปรียบเหมือนทองธรรมดาราคามี จะปัดแผ้วถางฝืนไม่คืนที่ ยากจะมีผู้ประสงค์จำนงใน ถือทำนองแบบโบราณท่านขานไข จงอยู่ในโอวาทญาติวงศ์ จะเพริศพริ้งสมสวาทเป็นราชหงส์ อย่าลุ่มหลงด้วยอุบายของชายพาล เขาย่อมว่ารสลิ้นนี้กินหวาน อย่าลนลานหลงละเลิงด้วยเชิงชาย อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน จะจองจำตีโบยออกโหยหน ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว กลับซื้อขายคิดเอากับเจ้าผัว เราทำชั่วก็ต้องขายกายเราเอง เพราะเราคิดผิดนักไม่เหมาะเหม็ง ใจตัวเองพาหลงไปลงตม หมายจะกองทุนสินกินขนม จึงตรอมตรมโกรธบุตรนี้สุดใจ ญาติวงศ์พงศาก็ผ่องใส ก็มีใจสรรเสริญเจริญพร
๏ จงรักนวลสงวนนามห้ามใจไว้ คิดถึงหน้าบิดาและมารดร เมื่อสุกงอมหอมหวานจึงควรหล่น อย่าชิงสุกก่อนห่ามไม่งามดี อย่าคิดเลยคู่เชยคงหาได้ อย่าเกียจคร้านงานสตรีจงนิยม ถ้าแม้นทำสิ่งใดให้ตลอด เขม้นขะมักรักงานการของตน เมื่อเหนื่อยอ่อนนอนหลับอยู่กับบ้าน อะไรฉาวกราวเกรียวอย่าเหลียวแล ระวังดูเรือนเหย้าแลข้าวของ เห็นไม่มีแล้วอย่าอ้างว่าช่างมัน มีสลึงพึงประจบให้ครบบาท จงมักน้อยกินน้อยค่อยบรรจง ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล ด้วยชนกชนนีนั้นมีคุณ อุ้มอุทรป้อนข้าวเป็นเท่าไร ถ้าเราดีมีจิตคิดอุปถัมถ์ จะปรากฎยศยิ่งสิ่งทั้งปวง เทพไทในห้องสิบหกชั้น ว่าสตรีนี้เป็นยอดยุพาพาล
๏ ที่บางนางนั้นก็ทำทุจริต เห็นพ่อแม่ยากไร้ไม่ใยดี เขาถามไถ่ว่ามิใช่เป็นพ่อแม่ ให้ตามหลังบังคับด้วยคำคม คนผู้นั้นครั้นตายวายชีวาตม์ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันพระจันทรา ถ้าอยู่ไปในมนุษย์โลกเล่า ให้ยากยับอัปราอนาทร แม้จะมีเงินทองของทั้งหลาย จะเกิดโจรราวีอัคคีภัย หญิงเช่นนี้ชายอย่าได้ไปร่วมรัก แต่พ่อแม่เจียวยังใจไม่การุญ ซึ่งสตรีที่ดีอย่าดูเยี่ยง แม้นร่วมรอยก็จะพลอยระยำมัง
อย่าหลงใหลจำคำที่ร่ำสอน อย่ารีบร้อนเร็วนักมักไม่ดี อยู่กับต้นอย่าให้พรากไปจากที่ เมื่อบุญมีคงจะมาอย่างปรารมภ์ อุตส่าห์ทำลำไพ่เก็บประสม จะอุดมสินทรัพย์ไม่อับจน อย่าทิ้งทอดเที่ยวไปไม่ได้ผล อย่าซุกซนคบเพื่อนไพล่เชือนแช อย่าเที่ยวพล่านพูดผลอประจ๋อประแจ๋ ฟังให้แน่เนื้อความค่อยถามกัน จะบกพร่องอะไรที่ไหนนั่น จงผ่อนผันเก็บเล็มให้เต็มลง อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดระทดใจ ได้การุณเลี้ยงรักษามาจนใหญ่ หมายจะได้พึ่งพาธิดาดวง กุศลล้ำเลิศเท่าภูเขาหลวง กว่าจะล่วงลุถึงซึ่งพิมาน จะชวนกันสรรเสริญเจริญสาร ได้เลี้ยงท่านชนกชนนี
มิได้คิดคุณท่านเท่าเกศี ดูเป็นที่อายเพื่อนเบือนอารมณ์ ท่านพูดแก้เกลื่อนกลับจะทับถม ไม่ชื่นชมยกชูขึ้นบูชา คงไม่คลาดแคล้วนรกตกถลา ทรมาน์หมกไหม้ในไฟฟอน เทพเจ้าท่านก็แช่งแสร้งสังหรณ์ ยิ่งกว่าทำมารดรให้ร้อนใจ คงฉิบหายมั่นคงอย่าสงสัย เพราะว่าใจหยาบช้าคิดทารุณ จะเสื่อมศักดิ์เสียเช่นเป็นสถุล เนรคุณมิได้คิดอนิจจัง จงหลีกเลี่ยงเสียให้พ้นคนขี้ถัง ดุจดังเอาทองแดงเข้าแฝงกุม
๏ จะสอนใจไว้ทุกสิ่งเป็นหญิงสาว ให้ผันผ่อนเหมือนหนึ่งนอนในห่วงรุม อย่าทำนอกลักษณะจะเป็นโทษ ถึงจะรักรักให้ยืดอย่าจืดจาง จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู แม้จะเรียนวิชาทางค้าขาย จึงซื้อง่ายขายดีมีกำไร เป็นมนุษย์สุดนิยมเพียงลมปาก แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา ถึงชายใดเขาพอใจมาพูดเกี้ยว เมื่อไม่ชอบก็อย่าตอบเนื้อความตาม ถึงจะไปในพิภพให้จบทั่ว จงอุตส่าห์ปกปิดให้มิดเม้น เมื่อจะจรนอนเดินดำเนินนั่ง อย่าเหม่อเมินเดินให้ดีมีอาฌา เห็นผู้ใหญ่หรือใครเขานั่งแน่น ค่อยวอนว่าข้าขอจรดล แม้นสมรจะไปนอนที่เรือนไหน ใครเห็นเข้าเขาจะเล่านินทานาง ถ้าจะนั่งก็นั่งระวังผ้า ยามสำรวลก็อย่าสรวลให้เมามัว เมื่อยามยิ้มก็ยิ้มไว้แต่ในพักตร์ อย่าเท้าแขนเท้าคางให้ห่างกาย จะแต่งตัวก็อย่ามัวแต่การแต่ง ใช่บ้านนอกขอกนามาแต่เยิง
ให้พ้นคาวข่าวชั่วมามั่วสุม จงสุขุมคิดแบ่งให้เบาบาง ตัดประโยชน์พี่น้องเขาหมองหมาง จะไว้วางกริยาให้น่าดู อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ อย่าปากร้ายพูดจาอัชฌาสัย ด้วยเขาไม่เคืองจิตระอิดระอา จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ อย่าโกรธเกรี้ยวโกรธาว่าหยาบหยาม มันจะลามเล่นเลยเหมือนเคยเป็น แต่ความชั่วอย่าให้ผู้ใดเห็น จึงจะเป็นคนดีมีปัญญา จงระวังในจิตขนิษฐา แม้นพลั้งพลาดบาทาจะอายคน อย่าไกวแขนปัดเช่นไม่เห็นหน นั่นแหละคนจึงจะมีปรานีนาง อย่าหลับไหลลืมกายจนสายสาง ความกระจ่างออกกระจายเพราะกายตัว ไม่อาฌาเขาจะพากันยิ้มหัว แม้นจะหัวหัวร่อพอสบาย อย่ายิ้มนักเสียสง่าพาสลาย อย่ากรีดกรายกรอมเพลาะเที่ยวเราะเริง อย่าทาแป้งจับกระเหม่าเข้าจนเหลิง ทำเซาะเซิงเขาจะโห่วิ่งโร่ไป
๏ เมื่อยามตรุษยามสงกรานต์มีงานหลวง ครั้นสิ้นเขตเทศกาลทำงานไป เมื่อไปเป็นชาววังจึงนั่งแต่ง ด้วยสำราญการอะไรนั้นไม่มี อยู่สถานบ้านช่องนั้นต้องคิด เผื่อมีผัวพลเรือนเหมือนกันนา รู้วิชาก็ให้รู้เป็นครูเขา มีข้าไทใช้สอยค่อยสบาย การวิชาหาประดับสำหรับร่าง การมิดีมีชั่วมันกลัวเกรง คิดแต่ยากแต่จนเร่งขวนขวาย พออิ่มเช้าอิ่มเย็นไม่เป็นไร ค่อยเสงี่ยมเจียมตนจนเสียก่อน อย่าเป้อเย้อพกใหญ่ออกให้เกิน อย่าอวดดีมีทรัพย์เที่ยวจับแจก ใครจะช่วยตัวเราก็เปล่าดาย เห็นผู้ดีมีทรัพย์ประดับแต่ง ของตัวน้อยก็จะถอยไปทุกวัน จงนุ่งเจียมห่มเจียมเสงี่ยมหงิม อย่านุ่งลายกรายกรุยทำฉุยไป
แต่งให้งามตามกระทรวงหาว่าไม่ อย่าร่ำไรผัดหน้าทั้งตาปี แต่พอแจ้งเข้าก็จับกระจกหวี จะหาคู่ดูแต่ที่เจ้าพระยา ให้รู้กิจการหญิงทุกสิ่งสา จะได้หาเลี้ยงกันจนวันตาย จึงจะเบาแรงตนเร่งขวนขวาย ตัวเป็นนายโง่เง่าบ่าวไม่เกรง อย่าเอาอย่างหญิงโกงมันโฉงเฉง อย่าครื้นเครงขับร้องคะนองใจ อย่าให้กายตกยากลำบากได้ อย่าพอใจเชื่อช้ำเขาก้ำเกิน ค่อยผันผ่อนทีหลังเขาสรรเสริญ ละเมิดเมินหมิ่นนักมักจะอาย ทำเกี่ยวแฝกมุงป่าพาฉิบหาย อย่ามักง่ายเงินทองของสำคัญ อย่าทำแข่งวาสนากระยาหงัน เหมือนตัดบั่นต้นทุนสูญกำไร อย่ากระหยิ่มยศถาอัชฌาสัย ตัวมิใช่ชาววังไม่บังควร
๏ อย่าคบพวกหญิงพาลสันดานชั่ว สุริย์ฉายบ่ายคล้อยเที่ยวลอยนวล พอรุ่งเช้าเฝ้าแต่มองส่องเกศี ตรงการงานขี้คร้านเป็นกังวล ครั้นได้ยินเสียงกลองมาก้องหู วันนี้มีละครใครที่ไหนมา นั่งพินิจพิศโฉมประโลมหลง บ้างก็เห็นว่างามเลยตามไป บ้างก็รักข้างนักเลงเล่นเครงครื้น ห่มเพลาะดำทำปลอมออกกรอมกาย ครั้นไปไปใจแตกลงแหกคอก ควาญหมอรอไม่ติดเห็นผิดเชิง ใครจะห้ามปรามไว้ก็ไม่ฟัง ถือว่าตนเปรื่องฉลาดปราชญ์ประเปรียว พูดก็มากปากก็บอนแสนงอนนัก เที่ยวรอนราญจนเพื่อนบ้านเขาระอา ที่ส่วนตัวถึงจะชั่วออกล้นพ้น ไม่ทำมาหากินจนสิ้นแกน หญิงเช่นนี้เห็นไม่มีเจริญแล้ว ลงสูบฝิ่นกินเหล้าอยู่เมามาย มือก็ไวใจก็กล้าหน้าก็ด้าน แต่ผ้าขาดก็ไม่ปรารถนาเย็บ อันการเหย้าไม่เอาเป็นธุระ คบกันได้แต่นิสัยพวกแชเชือน ชั้นจะยืมของใครเขาไม่เชื่อ ปากก็หวานเหมือนน้ำตาลเพชรบุรี แม้นใครไปสมทบเข้าคบค้า มีแต่ภัยให้ระยำทุกค่ำคืน หญิงไม่ดีนั้นก็มีอยู่หลายพวก ที่คนดีจะได้ดูให้รู้ครบ
ที่แต่งตัวไว้จริตผิดกระสวน เป็นเชิงชวนพวกเจ้าชู้เขารู้กล ให้เวียนหวีได้วันละพันหน แต่งแต่ตนมิได้เว้นสักเวลา ยังไม่รู้เนื้อความเที่ยวถามหา แม้นรู้ว่าเจ้ากรับเต้นหรับไป ดูจนปลงกรรมฐานเหงื่อกาฬไหล ช่างกระไรหนอขนิษฐ์ไม่คิดอาย เที่ยวกลางคืนคบเพื่อนเดือนหงายหงาย พวกผู้ชายชักพาเที่ยวร่าเริง ปะแตกปลอกต้ำผางวางจนเหลิง จะเปิดเปิงเข้าป่าไปท่าเดียว ทำส่งเสียงเถียงดังให้กราดเกรี้ยว ประจบเที่ยวรู้จักทุกพักตรา เห็นเขารักกันไม่ได้ใจอิจฉา นั่งที่ไหนให้นินทาเขาเป็นแดน สู้ปิดปากยกตนนี่สุดแสน ก็เลยแล่นเข้าบ่อนนอนสบาย ให้แว่วแว่วอยู่ข้างทางฉิบหาย ไม่เสียดายอินทรีย์เท่าขี้เล็บ จะเอาขวานไปถากไม่อยากเจ็บ ขี้เกียจเก็บพลัดวางได้กลางเรือน คิดแต่จะเที่ยวตลบไปคบเพื่อน จะคบคนพลเรือนก็เต็มที ด้วยตัวเหลือโป้ปดสบถถี่ ข้าวของมีให้ไปไม่ได้คืน จนชั้นผ้าไม่ติดตัวแต่สักผืน ใครจะชื่นชมชิดไปคิดคบ จำจะบวกบอกใส่เสียให้จบ หล่อนจะได้ไม่คบพวกคนพาล
๏ หญิงพวกหนึ่งนั้นขันทำปั้นเจ๋อ ไม่เจียมจนเลยว่าตนต่ำสันดาน ล้วนคุณลุงคุณปู่อยู่ทุกแห่ง พวกผู้ดีไม่นึกตรึกเจรจา ช่างพูดได้ไม่อายแก่ปลายลิ้น ถึงพูดไปใครเขาจะเห็นจริง ถึงจะอวดอ้างไปที่ไหนนั่น ถ้าสันดานการผู้ดีคงมีรอย อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้เกินศักดิ์ เปรียบเหมือนเกลือเจือปนกับชลธี ที่บางคนจนยากไม่อยากทุกข์ อุตส่าห์แต่งแป้งขมิ้นไม่สิ้นคราว ทำไมแก่เงินทองของทั้งหลาย ถือว่ารูปกูงามไม่คร้ามจน สุภาษิตท่านประดิษฐ์ประดับไว้ ถึงเป็นองค์สุริย์วงศ์พระจักรี ทุกวันนี้มีทรัพย์เขานับหน้า ถึงงามพักตร์เขาจะรักเจ้าเพียงไร
เฝ้าเป้อเย้อหยิ่งเกินกับภูมิฐาน เห็นที่ท่านเป็นขุนนางอ้างเข้ามา เที่ยวแอบแฝงพิงพาดวาสนา เป็นพี่น้องร่วมฟ้านั้นเห็นจริง เป็นคนสิ้นความคิดผิดผู้หญิง เขาว่าหยิ่งยกยศเหมือนมดตะนอย เขารู้ทันอยู่ว่าเช่นเจ้าเป็นหอย ไม่กล่าวถ้อยเขาก็รู้ว่าผู้ดี เขาจะมักเหม็นปากเหมือนซากผี มันก็มีแต่จะจืดไม่ยืดยาว ถือว่าสุขอยู่แก่ตาข้าเป็นสาว ไม่สร้อยเศร้าสู้ตาประชาชน เห็นหาง่ายสารพัดไม่ขัดสน ลงแต่งตนขายกินจนสิ้นดี ว่าผู้ใดงามพักตร์สมศักดิ์ศรี แม้นไม่มีสินทรัพย์ก็ลับไป อย่าถือว่าตนงามตามวิสัย เขาคาดใจเสียว่าเจ้าขี้เกียจการ
 ๏ ที่บางคนเห็นที่ท่านมีทรัพย์ ประกอบผูกลูกสะกดสร้อยสังวาลย์ เจ้าคนจนมันให้ร่ำจะทำบ้าง แต่ตัวจนอ้นอั้นตันในคอ หาทองแท้แก้ไขมันไม่คล่อง แต่ล้วนเนื้อสิบน้ำทองคำทวาย แพงไม่เบาเขายังกล้าอุตส่าห์ซื้อ ถึงจนยากอยากบำรุงให้รุ่งเรือง ก็สาสมกับอารมณ์ไม่เจียมศักดิ์ ผู้ดีว่าแล้วขี้ข้าก็พลอยตาม เขาจึงว่าหน้าสดปรากฎอยู่ เมื่อน้ำตื้นขืนจะพายไปฝ่ายเดียว เหมือนหิ่งห้อยน้อยสีหรี่หรุบรู่ เห็นไม่ถึงดอกอย่าโกยไปโดยแรง ๏ ยังมีพวกหนึ่งนั้นขยันยิ่ง เที่ยวยักย้ายร่ายชมภิรมย์รส จะรักไหนก็ไม่รักสมัครมั่น ชู้ต่อชู้รู้เรื่องเคืองระคาง เพราะนารีมิได้ตรงจำนงหมาย เหมือนพวกนางโมราวิลาวัณย์ โอ้ใจนางอย่างนี้ก็มีมั่ง เพราะนิสัยใจขนิษฐ์เล่นปลิดโยน ต่างคนต่างก็เชือนออกเบือนเบื่อ อันผัวดีที่จะได้อย่าหมายเลย แต่งประดับผิวพรรณในสัณฐาน แลละลานล้วนสุวรรณอันลออ เอาเยี่ยงอย่างอยากได้น้ำลายสอ ลงเที่ยวผลอไพล่เผลเพทุบาย ต้องเอาทองเสาชิงช้าน่าใจหาย สายสร้อยสายหนึ่งก็ถึงสลึงเฟื้อง ผูกข้อมือแลงามอร่ามเหลือง จนทองเหลืองไม่ละจะกละงาม ทรลักษณ์เหลือตัวชั่วส่ำสาม ไม่มีความอายจิตสักนิดเดียว สมกับผู้ที่ไม่ตรึกนึกเฉลียว ไม่ถึงเลี้ยวก็จะล่มไปจมแปลง จะแข่งสู้สุริยาอันกล้าแข็ง เขาจะแสร้งสรวลว่าเป็นบ้ายศ เป็นผู้หญิงสองใจไม่กำหนด ใครมาจดโผจับรับตะกาง เล่นประชันเชิงลองทั้งสองข้าง ก็ขัดขวางหึงสาจะฆ่าฟัน ทำให้ชายเคืองแค้นแสนกระสัน ยื่นพระขรรค์ผัวให้กับไอ้โจร จนลือดังข่าวก้องดังกลองโขน จนมาโดนกันกระดากไม่อยากเชย ต้องเป็นเรือขึ้นคานอยู่เฉยเฉย ด้วยมากเชยหลายชู้เขารู้กล
๏ บ้างลอบเล่นเพลงยาวเมื่อคราวขัด ที่ไม่สู้รู้กลอนยังร้อนรน บ้างก็เล่นปริศนาเที่ยวหาของ ครั้นห่อเสร็จส่งให้กับชายชาญ ครั้นคิดคิดปริศนานั้นช้าเนิ่น ทำดื้อด้านหาญหักไม่รักงาม ชนิดนางอย่างนี้มีชุมนัก ต้องกินยาเข้าสุราพริกไทยปน รักสนุกครั้นได้ทุกข์แล้วถอยคิด เทพเจ้าท่านไม่เข้าด้วยคนร้าย ครั้นคิดล้างอย่างไรก็ไม่สูญ ทำอย่างไรมันก็ไม่มรณา ถ้ารู้ถึงพ่อแม่ต้องแก้ไข แล้วหาผัวตัวประจำเป็นสำเนา ที่ชายโหดโฉดเขลาเข้าไปรับ ดังแผ่นดินสิ้นหญ้าสุธาแพลง ไม่คิดอายขายหน้านิจจาเอ๋ย ลูกของเขาเอาเป็นสิทธิ์เฝ้าชิดเชื้อ เหมือนเช่นเราเขาจะให้ก็ไม่รัก ถึงรูปร่างอย่างยุพินกินรี เป็นขนิษฐ์ชอบแต่คิดให้เป็นหนึ่ง เอ่ยว่ารักแล้วให้ได้ร่วมเรียง ท่านเปรียบมาเหมือนหนึ่งตราราชสีห์ เป็นอนงค์แล้วก็คงจะเป็นเมีย ที่เกิดมาเป็นนารีไม่มีค่า เหมือนกรวดทรายปรายเล่นไม่เว้นวาง เมื่อไม่ถือตราภูมิไว้คุ้มห้าม แม้นรู้จักรักษาถือตราไว้ อย่าจับปลาสองหัตถ์จะพลัดพลาด จึงนับว่าคนดีไม่มีมัว เป็นผู้หญิงสิ่งใดจะล้ำเลิศ ถึงรูปทรงนงคราญจะพาลคลาย
๏ บ้างมีผัวตัวอยู่เป็นคู่ชื่น ทำรักซ้อนซ่อนสนิทปิดเนื้อความ ครั้นรู้ความถามไถ่ก็ไม่รับ พลอยประจบหลบความไปตามเพลง ทำองอาจพลาดพลั้งลงทั้งคู่ ไม่แปรดแปร้นแสนสลดเหมือนทศกัณฐ์ เคยที่นอนหมอนหนุนละมุนนิ่ม เล็นก็กัดหมัดก็กินจนสิ้นนวล ครั้นเห็นชู้คู่ชมภิรมย์รื่น จะพึ่งชู้ชู้ก็เพียบกรอบเกรียบใจ ตระลาการท่านถามเอาความชั่ว เขาเฮฮาหน้าสลดต้องอดทน ครั้นซักไซ้ไต่ถามได้ความชัด ถ้ารักชู้ก็ให้อยู่กับชู้ชาย ก็สาสมกับอารมณ์สตรีชั่ว ไปคบชู้ชู้ชักหักทั้งยืน ที่ใครเห็นจะเมตตานั้นหายาก ก็เพราะเหตุตัวชั่วลือขจร ครั้นลำบากยากจิตสิได้คิด ใช่ไม่รู้เขาห้ามความถ้อยมี เออก็ใจเป็นไฉนนะน้องเอ๋ย ช่างไม่คร้ามความชั่วติดตัวตน มันเสียแล้วถึงจะฝืนไม่คืนศักดิ์ อันความชั่วติดตัวกว่าจะตาย ถึงบินออกนอกตำบลให้พ้นเขต ห้ามมันยากปากมนุษย์นี้สุดยาว ผู้ใดคิดผิดพลั้งเหมือนอย่างว่า ควรยับยั้งชั่งใจเสียให้ดี แม้นชั่วช้าใครว่าแล้วโกรธเขา จะวิบัติบาปกรรมซ้ำหนักไป แม้คนดีมีปัญญาถ้าไม่โกรธ ให้พ้นทุกข์สุขีเป็นศรีเมือง
ฝีปากจัดตอบต่อข้อนุสนธิ์ เที่ยววานคนแต่งให้พอได้การ ให้ถูกต้องตามอารมณ์ประสมประสาน บอกอาการเรื่องรักประจักษ์ความ ชวนกันเดินหลีกออกนอกสนาม จนเลยลามลืมบ้านสถานตน เป็นโรครักเกิดมารศีรษะขน หมายประจญจะให้ดับที่อับอาย จะปกปิดเปลวไฟไม่เห็นหาย คงก่อกายขึ้นให้เห็นไว้เป็นตรา ก็อาดูรพูนเกิดสหัสสา เป็นเวราบาปนั้นไม่บรรเทา เอาลูกไปมุ่งหมกยกให้เขา พอปัดเป่าความอายให้หายแคลง มันช่างหลับตาสนิทไม่คิดแหนง มาแอบแฝงเอามันเป็นว่านเครือ เหมือนไม่เคยพบปะจะกละเหลือ นึกว่าเนื้อบุญธรรมกรรมไม่มี มันขายพักตร์สารพัดจะบัดสี แต่เช่นนี้แล้วไม่ปองประคองเคียง ไม่ควรถึงอย่าให้ถึงกับปากเสียง เป็นคู่เคียงของตัวว่าผัวเมีย ไม่พอที่เสียนวลไม่ควรเสีย ย่อมมีเบี้ยปรับไหมวิสัยนาง จะเกิดมาทำไมให้หมองหมาง จะเอาอย่างนางโมราหรือว่าไป คนจึงลามเลยลวนมากวนได้ จะคุ้มภัยให้พ้นมีคนกลัว จับให้คงลงให้ขาดว่าเป็นผัว ถ้าชายชั่วร้างไปมิใช่ชาย สุดประเสริฐก็แต่ใจไม่เสื่อมสลาย ก็จะกลายส่งสวยด้วยใจงาม
ยังหาอื่นเข้าประคองเป็นสองสาม จนเลยลามเป็นระฆังดังขึ้นเอง เขาเฆี่ยนขับตีด่าว่าข่มเหง เพราะผัวเองจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เขาจับได้ชายชู้ดูน่าขัน ต้องโศกศัลย์เศร้าใจอยู่ในตรวน ไปนอนทิมกรากกรำเฝ้ากำสรวล แลแต่ล้วนลูกความออกหลามไป ก็ไม่ชื่นชมชิดพิศมัย จะพึ่งผัวตัวก็ไม่เมตตาตน ข้างตัวกลัวก็บอกออกนุสนธิ์ แทบจะด้นดำดินให้สิ้นอาย จึงจำกัดศักดินาราคาขาย มันเบื่อหน่ายขายกลับเอาทรัพย์คืน อยู่กับผัวร่วมใจว่าไม่ชื่น ต้องกล้ำกลืนชลนัยน์อาลัยวอน มีแต่ปากแช่งอนงค์ส่งสลอน ที่เคยนอนนั่งสบายว่าไม่ดี แต่มันผิดเสียถนัดต้องบัดสี ชั่วหรือดีได้ยินสิ้นทุกคน มันจึงเลยไหลฉ่ำดังน้ำฝน ทำซุกซนจนได้ยากลำบากกาย จะลงรักทองปิดไม่มิดหาย เปรียบเหมือนกายกามีราคีคาว คงบอกเหตุรู้ว่าใช่กาขาว ไม่แกล้งกล่าวค่อนว่าแก่นารี ถูกตำราแล้วอย่าโกรธพิโรธพี่ ถ้าหลีกลี้เลิกเล่นไม่เป็นไร เช่นตัวเราผู้แต่งแถลงไข ถึงตกใต้เทวทัตเพราะขัดเคือง เห็นประโยชน์ตัดชั่วในตัวเปลื้อง อย่าแค้นเคืองคำข้าขออภัย
๏ เป็นสตรีมิใช่ชายเสียดายศักดิ์ อันความดีมีอยู่ดูจำไว้ จะมีคู่ก็ให้รู้ปรนนิบัติ อย่าคิดร้ายย้ายแยกทำแปลกปลอม อย่าคบชู้สู่สมนิยมหวัง เขารักหลอกหยอกเล่นดอกเช่นนี้ ธุระอะไรจะให้มันเสียของ เพราะเชื่อใจภรรยายิ่งกว่าเกลอ จะมีจิตพิศวาสไม่คลาดเคลื่อน แม้นนอกจิตคิดร้ายหมายประจญ จงกันภัยในเล่ห์เสน่หา เอาความสัตย์ตัดตั้งปฏิญาณ จงซื่อต่อภัสดาสวามี อย่าให้มีราคินที่กินใจ ถึงที่สุดทดลองก็ทองแท้ หญิงเดี๋ยวนี้แม้นมีสัตยา
๏ แม้นเขารักแล้วอย่าดื้อทำถือจิต คำนับนอบสามีทุกวี่วัน ยามสิ้นแสงสุริยาอย่าไปไหน ระวังดูปูปัดสลัดที่นอน ถ้าแม้นว่าภัสดาเข้าไสยาสน์ เขาเหนื่อยเหน็บเจ็บปวดในทรวงทรง ประพฤติกายสายสมรจะนอนหลับ นอนให้ดีมีสติสิริเรา จงรีบฟื้นตื่นก่อนภัสดา จึงหุงข้าวต้มแกงแต่งสำรับ ทั้งกระโถนคนทีขัดสีไว้ อีกน้ำท่าอย่าให้ผงลงไปกวน แม้นรู้ว่าสามีจะไปไหน ประจงปลุกภัสดาอย่าช้านาน จงระวังนั่งดูอยู่ใกล้ใกล้ อย่าให้ต้องร้องตะโกนโพนทะนา อยู่จนผัวรับประทานอาหารแล้ว อย่ากินก่อนภัสดาดูน่าชัง
จะปลูกรักเรรวนหาควรไม่ อย่าพอใจรักชั่วให้มัวมอม จงซื่อสัตย์สุจริตคิดถนอม มโนน้อมเสน่หาต่อสามี ไม่จีรังกาลดอกบอกโฉมศรี ถ้าแม้นมีข้าวของต้องบำเรอ อันเงินทองผัวสิทำสน่ำเสนอ ควรบำเรอลูกผัวของตัวตน เพราะแม่เรือนร่วมใจจึงได้ผล จะพาตนยากยับอัประมาณ อย่าให้มาปนปะจงประหาร ถึงเกิดการยากเข็ญไม่เป็นไร จนชีวีศรีสวัสดิ์เจ้าตัดษัย อุปไมยเหมือนอนงค์องค์สีดา ด้วยนางแน่อยู่ในสัจอธิษฐาน์ ภัสดาก็ยิ่งรักขึ้นหนักครัน
เร่งเกรงผิดกลัวใจใหญ่มหันต์ อย่าดุดันดื้อดึงตะบึงบอน จุดไต้ไฟเข้าไปส่องในห้องก่อน ทั้งฟูกหมอนอย่าให้มีธุลีลง จงกราบบาททุกครั้งอย่าพลั้งหลง ช่วยบรรจงนวดฟั้นให้บรรเทา อย่ากลิ้งกลับมือไม้ไปป่ายเขา อย่าซมเซาอยู่จนแจ้งแสงพยับ น้ำล้างหน้าหาไว้ให้เสร็จสรรพ จัดประดับเทียมทำให้น้ำนวล ให้ผ่องใสสวยตาดูน่าบ้วน จงใคร่ครวญพิเคราะห์ให้เหมาะการ แต่ยังไม่ตื่นพรากจากสถาน ให้ลุกขึ้นรับประทานโภชนา เผื่ออะไรมันขาดจะเรียกหา จงอุตส่าห์ตั้งใจระไวระวัง นางน้องแก้วเจ้าจงกินเมื่อภายหลัง เขาจะรังเกียจใจดูไม่ดี
๏ ถ้าผัวทำราชการพระผ่านเกล้า ทั้งล่วมปัดจัดแจงแต่งให้ดี อุตส่าห์ทำบำเรอเสนอสนอง ปรนนิบัติภัสดาอย่าราคิน
๏ เกิดเป็นหญิงให้เห็นว่าเป็นหญิง เป็นหญิงครึ่งชายครึ่งอย่าพึงใจ แม้นผัวเดือดเจ้าจงดับระงับไว้ เขาเป็นไฟเราเป็นน้ำค่อยพรำพรม อันโมโหโทโสไม่อดได้ ที่ชาวบ้านท่านไม่รู้จะรู้ความ เอาใจผัวผัวจะรักเจ้าหนักหนา แม้นผัวทุกข์ขุกไข้ไม่เสบย จงแย้มสรวลชวนปลอบให้ชอบชื่น ค่อยถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงฤทัย จะพูดจาสารพัดประหยัดปาก ความสิ่งไรในจิตจงปิดงำ การสิ่งไรที่ชั่วผัวเขาห้าม อย่าดึงดื้อถือตนเป็นคนเชือน
๏ แม้นพิโรธโกรธขึ้งกับภัสดา พึ่งข่มขืนกลืนไว้ในอุรัง จึงจะว่านารีมีความคิด ถึงใครรู้อยู่ว่าคมต้องชมเรา การนินทาด่าผัวนั้นชั่วถ่อย ถึงร้างหย่าหาใหม่วิสัยมี บ้างทำกลัวตัวสั่นแต่ต่อหน้า ครั้นผัวเดินเกินเลยเฉยเฉียดไป ทำเสงี่ยมเจียมตัวผัวไม่เห็น ครั้นว่าเขาเข้าใจรู้ไหวพริบ
๏ บางนารีที่เป็นนางใจร้ายกาจ สำรากก้องร้องแทรกแหกกระแซง ขู่คำรนบ่นว่าด่าประชด ลุอำนาจไม่อาจขยาดตัว ทรมานภัสดาน่าสังเวช ยังมิหนำซ้ำป่าวเหล่านารี ข้างฝ่ายผัวใจดีมิได้ว่า ดูเหมือนแม่กับลูกผูกขึ้นชู ช่างกระไรใจคอมันอดได้ จึงยอมตัวกลัวเมียจนหัวมุด เหมือนเช่นเราแล้วไม่ต้องให้ตีตบ จะถีบถองเสียให้ยับไล่ขับกัน
___สุภาษิตซึ่งประดิษฐ์มาไว้นี้ ใช่จะแกล้งแต่งคำมารำพัน จะร่ำไปสักเท่าไรก็ไม่หมด อุตส่าห์ตรองตริตรึกนึกจำเนียร พอเป็นเรื่องสำหรับดับทุกข์โทษ เป็นตำหรับแบบฉบับไปยืดยาว ข้อไหนชั่วแล้วอย่ามัวไปขืนทำ เก็บประกอบเอาแต่ชอบในเรื่องความ อย่าฟังเปล่าเอาแต่กลอนสุนทรเพราะ ไว้เป็นแบบสอนตนพ้นราคี ให้สุขีศรีเมืองเลื่องลือฟุ้ง เป็นที่ชื่นเช่นอย่างนางสีดา
เคยเข้าเฝ้าสู่วังนรังศรี หมากบุหรี่หาใส่ให้ไปกิน ตามทำนองมิ่งมิตรเป็นนิจสิน จึงจะภิญโญยศปรากฎไป
อย่าทอดทิ้งกริยาอัชฌาสัย ใครเขาไม่สรรเสริญเมินอารมณ์ อย่าพอใจขึ้นเสียงเถียงประสม แม้นระดมขึ้นทั้งคู่จะวู่วาม ความในใจก็จะดังออกกลางสนาม อย่าทำตามใจนักมักจะเคย หมั่นนำพาการเรือนอย่าเชือนเฉย อย่าวายเวยลามลวนให้กวนใจ เห็นเริงรื่นหัทยาจึงปราศรัย แม้นสิ่งไรเขาไม่ชื่นอย่าขืนทำ อย่าพูดมากเติมต่อซึ่งข้อขำ อย่าควรนำแนะออกไปนอกเรือน ประพฤติตามแบบแผนให้แม้นเหมือน จะเอ่ยเอื้อนโอภาให้น่าฟัง
อย่านินทาว่าผัวตัวลับหลัง อุตส่าห์บังกลบเกลื่อนที่เงื่อนเงา รู้ปกปิดมิดโทษไม่โฉดเขลา หนึ่งผัวเขาเล่าก็เห็นว่าเป็นดี เป็นคนน้อยปัญญาเสียราศี ชายที่ดีรู้กำพืดก็จืดไป ถึงตีด่าก็นิ่งไม่ติงไหว ก็ด่าให้ไม่ดังตั้งกระซิบ ดูเหมือนเช่นปากว่าตาขยิบ ก็ต้องริบต้องร้างระคางแคลง
หมิ่นประมาททุ่มเถียงส่งเสียงแข็ง ตะคอกแกล้งข่มขี่ให้ผัวกลัว ให้สามีอัปยศลงหดหัว มัดมือผัวผูกแขนแค่นเฆี่ยนตี ดูเหมือนเปรตเวทนาน่าบัดสี ที่ไม่มีภัสดาให้มาดู นิ่งให้เมียเฆี่ยนด่าน่าอดสู มิได้สู้รบรับสัประยุทธ์ ดูเหมือนไม่มีจิตผิดบุรุษ น้อยมนุษย์ที่จะเป็นได้เช่นนั้น คงสู้รบโต้เต็มให้เข้มขัน ร้างหย่ามันเสียให้ค้างอยู่กลางคัน
ล้วนแต่มีเยี่ยงอย่างดังเสกสรร คนทุกวันอย่างนี้มีอาเกียรณ์ ขี้เกียจจดเหน็ดเหนื่อยเมื่อยมือเขียน ตั้งความเพียรผูกข้อต่อเรื่องราว เป็นประโยชน์แก่สตรีที่สวยสาว ในเรื่องราวสุภาษิตลิขิตความ จงจดจำบุญบาปอย่าหยาบหยาม ประพฤติตามห้ามใจเสียให้ดี จงพิเคราะห์คำเลิศประเสริฐศรี กันบัดสีคำค่อนคนนินทา หอมจรุงกลิ่นกลั้วทั่วทิศา ในใต้หล้าหมายประคองตัวน้องเอย

การพูดในที่สาธารณะ


การพูดในที่สาธารณะ


การพูดในที่สาธารณะอาจจะเป็นเรื่องง่ายๆสำหรับบางคน แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทย) มันเป็นสิ่งที่ถ้าหลีกเลี่ยงได้ คงจะหลีกเลี่ยงกันใหญ่เลยทีเดียว...ซึ่งก็ใช่ว่าจะสามารถหลีกเลี่ยงได้หมดทุกครั้งไปซะด้วย

           ในเมื่อหนีมันไม่ได้แล้ว ผมว่าพวกเรามาลองพยายามใช้เทคนิคเหล่านี้ฝึกฝนตัวเองให้ไม่เป็นล้มคาที่เวลาต้องอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆกันดีกว่านะครับ
ขั้นตอนที่ 1 พัฒนาการพูดและการออกเสียง

ก่อนที่จะไปพูดให้ชาวบ้านฟังได้ มันจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องพูดและออกเสียงคำพูดต่างๆของเราเองให้ดีเสียก่อน คนที่พูดและออกเสียงได้ดีจะมีความมั่นใจ และความมั่นใจนี้เองที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้้นสามารถพูดต่อหน้าชาวบ้านได้อย่างดี

วิธีการฝึกพูดและออกเสียงสามารถทำได้โดยวิธีเหล่านี้

การอ่านออกเสียง ผมมีนิยายและนิทานเยอะแยะมากมายที่บ้าน การอ่านหนังสือเหล่านี้ออกมาดังๆจะช่วยให้เราสามารถพัฒนาตัวเองในเรื่องการฝึกจังหวะการออกเสียง และน้ำเสียงขึ้นลงต่ำเบาได้มาก ผมมักจะฝึกเทคนิคนี้กับน้องชายของผมเสมอ และเราจะพยายามถกกันว่า ประโยคนี้ต้องอ่านด้วยน้ำเสียง ด้วยอารมณ์แบบไหน จึงจะดีที่สุด

เลียนแบบการพูดของนักพูดในดวงใจ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยได้ยินได้ฟังการพูดของคนอื่นและคงจะมีนักพูดในดวงใจอยู่บ้าง สำหรับตัวผม นักพูดในดวงใจของผมคือคุณพ่อของผม เวลาที่ท่านพูดอะไร ผมจะจำเอาไว้ และก็จะพยายามฝึกพูดให้ดีแบบท่าน ฝึกใช้ภาษาท่าทางแบบท่าน ฝึกวิธีการสื่ออารมณ์ให้คนฟังรู้สึกแบบที่ผมรู้ึสึกเวลาฟังท่านพูด ไม่ว่าผมจะพูดอะไร ผมจะถามตัวเองเสมอว่า "ถ้าเป็นคุณพ่อ ท่านจะพูดอย่างไร" ผมเลียนแบบท่านไปเรื่อยๆจนในที่สุด ผมก็หยุดเลียนแบบท่าน และพูดในสไตล์ของตัวเอง

ขั้นตอนที่ 2 ฝึกการพูดและท่าทางเวลาพูด

หลังจากที่ผมได้ฝึกพูดและออกเสียงคำพูดจนผมรู้สึกพอใจแล้ว ผมก็จะเริ่มพัฒนาในส่วนของจังหวะ ระดับน้ำเสียง วิธีการนำเสนอของผม การฝึกเหล่านี้ไม่มีพวก "ทางลัด" นะครับ สิ่งที่คุณต้องทำคือการฝึกฝนอย่างหนักและสม่ำเสมอเท่านั้น

ฝึกพูดหน้ากระจก สำหรับผมแล้ว นี่เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่ายากเอามากๆ เพราะมันเหมือนคนบ้ายังไงชอบกล แต่มันก็มีประโยชน์มากมายจนทำให้ผมรู้สึกว่า "ถึงจะบ้า แต่กูก็ยอม" feedback ที่ได้รับเป็น feedback ที่ชัดเจนและทันที มันทำให้ผมสาามารถปรับปรุงข้อผิดพลาดของผมได้ ณ ขณะนั้นเลย และเมื่อผมสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้แล้ว ผลลัพธ์จากความพยายามของผมก็จะสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนและทันทีเช่นกัน ซึ่งมันทำให้ผมรู้สึกมั่นใจมากขึ้นเยอะเลยครับ

อัดเทปหรือวิดิโอเวลาคุณพูด ถ้าเลือกได้ ผมคิดว่าวิดิโอจะดีกว่านะครับ แต่ว่าการอัดเทปก็ช่วยได้มากเช่นกัน คุณจะสังเกตเห็นทันทีที่คุณพูดช้าไป พูดเร็วไป มีการอ้ำๆอึ้งๆ ฯลฯ ถ้าคุณไม่อาย คุณสามารถนำเอาเทปหรือวิดิโอไปให้เพืิ่อนของคุณช่วยฟังด้วยได้ ตอนที่ผมเรียนอยู่ระดับมัธยมฯปลาย เวลาผมจะต้องรายงานอะไรสักอย่าง ผมก็จะอัดเสียงผมตอนฝึกรายงานลงเทปเสมอเพื่อที่จะฝึกฝนจังหวะการพูดและเพื่อที่จะได้รู้ว่าเสียงของผมฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง การนำเสนอของฟังดูมีเหตุมีผลหรือไม่ ข้อมูลขัดแย้งกันเองหรือเปล่า ผมพูดช้าหรือเร็วไปหรือไม่ ฯลฯ พอถึงเวลารายงานจริงๆ ผมก็ได้ฝึกรายงานมาล่วงหน้าแล้วอย่างน้อย 10 ครั้ง และมันทำให้ผมสามารถรายงานได้อย่างสบายๆเลยทีเดียว

ขั้นตอนที่ 3 ฝึกพูดกับคนในครอบครัวและเพื่อนๆ

ผมว่ามันค่อนข้างจะเป็นเรื่องธรรมชาตินะครับ ในเมื่อเราเริ่มที่จะมีทักษะการพูดที่ดีขึ้น เราก็มักจะอยากพูดคุยกับคนอื่นเป็นธรรมดา ซึ่งก็จะทำให้เรายิ่งพูดเก่งขึ้นไปอีก ปัญหาอย่างเดียวก็คือ คุณอาจจะพูดจนเริ่มคิดเรื่องดีๆที่จะพูดไม่ออกแล้ว แต่ไม่ต้องกังวลครับ เพราะในเว็บเด็กดีแห่งนี้เต็มไปด้วยเรื่องน่าสนใจเยอะแยะมากมายให้คุณได้อ่าน...รวมไปถึงกระทู้อื่นๆที่ผมได้ post ลงไปในเว็บนี้ด้วยนะครับ (เข้าไปอ่านกระทู้ดีๆและมีสาระอื่นๆของผมได้ที่ my id ของผมนะครับ)

ขั้นตอนที่ 4 ฝึกพูดให้คนกลุ่มเล็กๆฟัง

มาถึงขั้นตอนนี้ เราก็ได้ก้าวผ่านขั้นตอนที่ยากที่สุดแล้วนะครับ นั่นคือ การสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง แต่ชีวิตมันยังไม่ง่ายขนาดนั้นนะครับ เพราะอุปสรรคสำคัญที่รอคุณอยู่คือการทำอย่างไรเมื่อไม่รู้ว่าจะพูดอะไร และในเมื่อการพูดเป็นสื่อสารทางเดียว นั่นคือ คนพูดจะพูด ส่วนคนฟังก็จะเอาแต่ฟัง ทำอย่างไรเล่า คุณจึงจะรู้ว่าคนที่ฟังคุณอยู่รู้ึสึกสนใจหรือไม่สนใจในสิ่งที่คุณพูด คุณสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ผ่านกิจกรรมต่อไปนี้

การสนทนาในระหว่างงานเลี้ยงต่างๆหรือในระหว่างการทานข้าว การพูดคุยกันไม่จำเป็นต้องเป็นในลักษณะ หนึ่งคนคุยกับหนึ่งคน ก็ได้ หลายๆครั้งด้วยกันที่ในระหว่างที่คุณพูด จะมีคนฟังคุณมากกว่าหนึ่งคน มันก็จะคล้ายๆกับคุณเป็นคนจัดรายการวิทยุ ส่วนคนที่ฟังคุณอยู่ก็เหมือนกับว่าพวกเขากำลังฟังวิทยุอยู่ คุณควรจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เหล่านี้ในการพัฒนาทักษะการพูดของคนให้มากที่สุด เพราะสถานการณ์เหล่านี้จะำไม่ทำให้คุณตื่นเวทีเวลาพูด (เพราะมันไม่มีเวที)

สภากาแฟ ผมเชื่อว่าทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้ย่อมต้องมีกลุ่มเพื่อนๆประมาณ 4-6 ที่มักจะมาพูดคุยถกเถียงกันในทุกเรื่องตั้้งแต่สากเบือยันเรือรบ สภากาแฟนี่แหละครัีบถือเป็นโอกาสหนึ่งในการพัฒนาทักษะการพูดของเรา และส่วนมาก การพูดของเราในสภากาแฟมักจะได้รับ feedback โดยทันทีอีกด้วย ซึ่งเป็นประโยชน์กับตัวเราเป็นอย่างมาก

ขั้นตอนที่ 5 การฝึกพูดต่อหน้าที่ชุมนุมขนาดเล็ก

หลังจากที่สามารถสื่อความคิดของตนเองให้คนอื่นฟังขณะอยู่ข้างล่างเวทีได้อย่างคล่องแคล่ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะก้าวขึ้นบนเวทีแล้ว ผมขอแนะนำให้เริ่มจากเวทีเล็กๆก่อน แล้วค่อยๆไล่ไปสู่เวทีที่ใหญ่ขึ้นๆ

การกล่าวสุนทรพจน์หรือการกล่าวคำอวยพร ตั้งแต่เกิดมา ผมยังไม่เคยเห็นคนที่กล่าวคำอวยพรปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเกิดเพื่อน ฯลฯ โดนคนดูโห่ใส่เลยสักครั้ง (ทั้งๆที่ตอนนั้นก็เมาได้ทีกันแล้ว) การกล่าวอะไรเช่นนี้สามารถกล่าวสั้นๆก็ได้ถ้าคุณยังตื่นๆเวทีอยู่ (ขอให้มีความสุข สุขภาพดี ในวันปีใหม่ไทยนะครับ!!!!!!) ถ้าคุณเริ่มหายตื่นเวทีแล้ว คุณอาจจะเตรียมเป็นสุนทรพจน์ัสั้นๆไว้ก็ได้ อย่าอายครับ นี่คือขั้นตอนที่จำเป็น ถ้าคุณต้องการเป็นนักพูดที่ดี

การเข้า course ฝึกการพูด ทุกคนที่ฟังคุณพูดจะอยู่ในฐานะเดียวกันกับคุณ พวกเขาจะเกิดความเห็นใจและจะไม่หัวเราะคุณสักแอะเวลาคุณตายกลางเวทีหรือพูดผิด (เผื่อถึงตาพวกเขาแล้วพวกเขาพูดผิดบ้าง คุณจะได้ไม่หัวเราะพวกเขา) และหลังจากที่คุณพูดเสร็จ ทุกคนก็จะช่วยกันให้กำลังใจและเสนอข้อแนะนำให้กับคุณ นี่คือโอกาสอันดีเยี่ยมที่จะทำให้คุณสามารถฝึกทักษะการพูดของคุณท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นใจสุดๆ

ขั้นตอนพิเศษ ฝึกทำกิจกรรมต่างๆต่อไปนี้

กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้พัฒนาทักษะการพูด แต่จะช่วยในเรื่องของการพูดในที่สาธารณะ

เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาที่มีผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นว่ายน้ำ ฟุตบอล บาสเก็ตบอล เป่ากบ ฯลฯ ตราบใดที่มีผู้ชมคอยดูเราแข่งขัน เป็นอันใช้ได้ การได้อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของสายตาคนดูจะช่วยสร้างความกล้าและความมั่นใจในแบบเดียวกันกับที่คุณต้องใช้เวลาที่คุณต้องพูดในที่สาธารณะ

ร้องคาราโอเกะ เล่นคอนเสิร์ต ถ้าคุณร้องเพลงไม่เป็น คุณก็สามารถเล่นดนตรีแทนได้ครับ ที่สำคัญคือ อย่าลืมชวนเพื่อนไปเยอะๆแล้วกัน หรือถ้าคุณสามารถร้องเพลงหรือเล่นดนตรีให้คนแปลกหน้าฟังได้เลยก็ยิ่งดี (อาจจะมีคนเข้ามาดูว่าใครกันที่ร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ก็เป็นได้!!!!)

ละครเวที ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งตอนผมอยู่มัธยมฯปลาย เขาเป็นคนที่ขี้อายมากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็น เพื่อนๆในห้อง (โดยเฉพาะผม) จึงขอร้อง แกมบังคับ แกมข่มขู่ ให้เขาเข้าชมรมละครเวที เวลาผ่านไปเดือนกว่า เพื่อนของผมคนนี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน เขาคุยกับคนมากขึ้น มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้เพียงเพราะเขาได้รับบทเป็น "ชายน้อย" และได้แสดงบทนี้ต่อหน้าเพื่่อนๆ 500 คน ประสบการณ์ในครั้งนั้นทำให้เขากลายเป็นผู้จัดการบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

2 สิ่งที่สำคัญที่สุดในการพูดคือความรู้และประสบการณ์

ผมสามารถพูดถึงเรื่องการพัฒนาบุคลิกภาพได้เป็นฉากๆ อันที่จริง ผมสามารถพูดเรื่องต่อหน้าคนเป็นร้อยเป็นพันได้ทั้งวัน ทำไมผมจึงทำเช่นนั้นได้ ก็เพราะผมมีความรู้และประสบการณ์โดยตรงในเรื่องเหล่านี้ ถ้าคุณให้ผมไปพูดเรื่องคอมพิวเตอร์โดยที่มีเวลาเตรียมตัวแค่นิดเดียว รับรองว่าผมคงต้องตายกลางเวทีแหงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหนในการพูด คุณก็ต้องอย่าลืมที่จะเตรียมตัวทุกครั้งก่อนการพูดด้วยนะครับ

ภาษาสัญลักษณ์แบบตะวันตก


Emoticons กับภาษาอังกฤษ


 ภาษาสัญลักษณ์ แบบตะวันตก

       Emoticon หรือภาษาสัญลักษณ์ ก็ถือเป็น Internet Slang อย่างหนึ่ง เราจะขอยกตัวอย่างอีโมติค่อนแบบสากลและอีโมติค่อนแบบแสดงความรู้สึกที่นิยมกันในประเทศแถบตะวันออก เช่น ญี่ปุ่น จีน ไทย ฯลฯ

:-) ยิ้มแบบปกติ อารมณ์ตลกขบขันอย่างมีความสุข
;-) ยิ้มแบบขยิบตา หยอกล้อหรือเย้ยหยัน
:-| ยิ้มแบบเจื่อนๆ
:) ยิ้มกระจ้อยร่อย ฝืนยิ้ม
:-> ขบขันเล็กๆ
< |> หัวเราะ
:-D หัวเราะใส่อยู่
:'-) กำลังมีความสุข และร้องไห้
:-( หน้านิ่วคิ้วขมวด อารมณ์ผิดหวังไม่ประทับใจ
> :-C กำลังโกรธ อย่าเซ้าซี้
<> ไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ
:-S ข้อความไม่ชัดเจน
:-X ถูกปิดปาก
:-/ งงอยู่
%-9 สมองตาย
:-O โอ้โฮ
8-O โอ้ มายก็อด
:-@ กำลังกรีดร้อง ตะโกนเสียงดัง
:-P กำลังชำเลืองหรือค้อนให้
| -O กำลังหาว
| - | กำลังง่วงนอน
เครื่องหมายแสดงอารมณ์(feelnote)
('') เมาส์ mouse
{'v'} นก ไก่ bird
/('x') หมา dog
(o^@^o) หมู pig
( ^9^ ) หมีโคอาลา koala
('U') จมูกโต
(x_x) หนุ่มตาเจ้าชู้ beau,gallant
/(-_-) สาวหมวยผมเปีย ตาชั้นเดียว chinagirl
(=_=) ตาสองชั้น
(O'_'O) เจ้าเนื้อ อ้วน moonface fat
(@_@) ใส่แว่น eyeglass
d('_')b ใส่หูฟัง earphone
o('_')o ใส่ตุ้มหู earring
( '>' ) มองซ้าย look left
( '<' ) มองขวา look right
(9_9) มองขึ้น look up
(6_6) มองลง look down
( ^_' ) ยักคิ้ว หลิ่วตาขวา
( ^-^ ) อมยิ้ม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
^__^ ยิ้ม ดีใจ smile
(o^_^o) อมยิ้มจนแก้มป่อง glad
}( '_' ){ หูผึ่ง กำลังฟัง น่าสนใจ interest
@(0_0)@ ตาโต หูผึ่ง น่าสนใจมาก more interest
(-'_'-) เขินนิดหน่อย shy
(='_'=) แก่ มีตีนกา age,old
( ' _.' ) ช่างพูด มีไฝที่ปาก
(._.') เหงื่อตก ตกใจ โดนจับได้
(,_,) สำนึกผิด หลบสายตา ไม่กล้ามองหน้า เสียใจ sorry
['L'] ทำหน้าเฉยเมย หน้าเข้ม
(*_*) ปิ๊ง ตาเป็นประกาย
('o') โอ้โห
($_$) มองอะไรเป็นเงินเป็นทอง หน้าเงิน greedy
(?_?) ฉงน กำลังงง doubt
(+_+) มึน งงอยู่
(#_#) สุดมึน สมองตาย
( ~_~ ) กำลังง่วงนอน ตาจะปิด be sleepy
(-_-)zzz กำลังหลับ sleeping 

คุณภาพของความเป็นครู


ปรัชญาและคุณธรรมสำหรับครู และลักษณะครูที่ดี
ปรัชญาและคุณธรรมสำหรับครู

ในความหมายของปรัชญาจัดว่าเป็นแนวอุดมคติในการดำเนินงานใด ๆ โดยใช้ปัญญา

เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่คาดหวังไว้ เมื่อบุคคลได้เกิดความสนใจและใฝ่หาความรู้จากวิชาปรัชญาก็ย่อมได้รับอัตถประโยชน์อย่างมากมาย พอสรุปได้ดังนี้

1. ปรัชญาสอนให้รู้จักความจริงอันสิ้นสุด เช่น พระเจ้ามีจริงหรือไม่
2. ปรัชญาสอนให้รู้จักทฤษฎีแห่งความรู้ เช่น การวิจัยจะนำไปสู่การค้นหาคำตอบได้
3. ปรัชญาสอนให้รู้จักความดีและความถูกต้อง เช่น การทำประโยชน์ให้แก่สังคมถือว่าเป็นความดี
4. ปรัชญาสอนให้รู้จักความงาม เช่น การประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ชื่นชอบของสังคม อันก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและเป็นสุขใจ
5. ปรัชญาสอนให้เกิดอุดมคติในการดำเนินชีวิตและการปฏิบัติหน้าที่การงาน เช่น สอนให้บุคคลเป็นครูในอุดมคติ หรือเป็นครูที่มีอุดมการณ์ที่จะช่วยพัฒนาชนบทอย่างแท้จริง
6. ปรัชญาสอนให้รู้จักประเมินคุณค่าในพฤติกรรมของบุคคลว่าถูกต้องและเหมาะสมหรือไม่

ดังได้กล่าวแล้วว่า ปรัชญาเป็นแนวอุดมคติในการดำเนินงานใด ๆ โดยใช้ปัญญาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่คาดหวังเอาไว้ สำหรับคุณธรรมคุณงามความดีของบุคคลที่กระทำไปด้วยความสำนึกในจิตใจ โดยมีเป้าหมายว่าเป็นการกระทำความดี หรือเป็นพฤติกรรมที่ดีซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม

ดังนั้น คุณธรรมสำหรับครู ก็คือคุณงามความดีของบุคคลที่เป็นครู ซึ่งได้กระทำไปด้วยความสำนึกในจิตใจ โดยมีเป้าหมายว่าเป็นการกระทำความดี หรือเป็นพฤติกรรมทีดีซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม เช่น ครูที่มีความเสียสละ ครูที่มีน้ำใจงาม ครูที่มีความเกรงใจ ครูที่มีความยุติธรรม ครูที่รักเด็กและรักเพื่อนมนุษย์ ครูที่มีความเห็นอกเห็นใจลูกศิษย์ และครูที่มีมารยาทที่งดงามถือว่าเป็นครูที่มีคุณธรรมทั้งสิ้น

โดยหลักการ ครูจะต้องเป็นทั้งนักปราชญ์ และผู้ทรงศีล เพราะสังคมได้ยกย่องให้ครูเป็นปูชนียบุคคล เป็นผู้ประเสริฐและประสาทความรู้ สร้างความเป็นคนและอบรมสั่งสอนเด็กให้เป็นเด็กที่ดีของสังคม ความจำเป็นที่จะต้องให้ครูเป็นทั้งนักปราชญ์ และผู้ทรงศีลดังกล่าวแล้วชี้ให้เห็นว่า ความเป็นนักปราชญ์ของครูนั้น ครูจะต้องมีความดีและถ่ายทอดดี สอนให้เด็กได้รับความรู้และสนุกมีชีวิตชีวา ส่วนความเป็นผู้ทรงศีลของครู ในฐานะที่ครูเป็นแม่แบบของชาติหรือเป็นต้นแบบในพฤติกรรมทั้งปวง จะช่วยให้ครูเป็นคนดี วางตัวดี เป็นที่เคารพและเป็นที่น่าเชื่อฟังของลูกศิษย์ จึงกล่าวได้ว่า ครูต้องมีคุณธรรม หรือคุณธรรมสำหรับครูเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครูอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าครูจำเป็นต้องมีคุณธรรม แต่คุณธรรมอย่างเดียวไม่เพียงพอครูต้องเป็นนักปรัชญาด้วย การเป็นนักปราชญ์ของครูจะช่วยให้ครูมีความรู้รอบ และรอบรู้ มีทัศนะกว้างไกลและลึก มองเห็นชีวิตของตนเองทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างทะลุปุโปร่ง และช่วงมองอนาคตของเด็กให้ทะลุปุโปร่งด้วย เพื่อจะได้ประคับประคองสนับสนุน และส่งเสริมให้เด็กเจริญก้าวหน้าอย่างเต็มที่

จึงสรุปได้ว่าปรัชญาและคุณธรรมสำหรับครูเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้ที่เป็นครูเปรียบเสมือนกับโลหะธาตุที่มีเนื้อธาตุดี ย่อมเป็นโลหะที่ดี เช่นเดียวกันถ้าครูมีปรัชญาและคุณธรรมก็จะได้รับความยกย่องว่า เป็นครูดีของสังคมได้ (สงวน สุทธิ์เลิศอรุณ 2536:20–21)



หลักคุณธรรมสำหรับครู

ผู้บริหารการศึกษา ครูอาจารย์ อยู่ในฐานะที่เป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างที่ดีของนักเรียน นักศึกษา การที่ศิษย์จะเคารพนับถือและมีความศรัทธาต่อครูอาจารย์ของตนนั้น ครูอาจารย์ต้องมีคุณธรรมเป็นปัจจัยสำคัญ



คุณธรรม 4 ประการ

ประการแรก คือ การรักษาความสัจ ความจริงใจต่อตัวเอง ที่จะประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม
ประการที่สอง คือ การรู้จักข่มใจตนเอง ให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในความสัจ ความดี

ประการที่สาม คือ การอดทน อดกลั้น และอดออม ที่จะไม่ประพฤติล่วงความสัจสุจริต ไม่ว่าจะด้วยเหตุประการใด
ประการที่สี่ คือ การรู้จักละวางความเชื่อ และรู้จักสละประโยชน์ส่วนน้อยของตนเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ของบ้านเมือง

คุณธรรมสี่ประการนี้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลูกฝังและบำรุงให้มีความเจริญงอกงามขึ้นโดยทั่วกันแล้ว และจะช่วยใช้ประเทศชาติบังเกิดความสุข ความร่มเย็น และมีโอกาสที่จะปรับปรุงพัฒนาให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปได้ดังความประสงค์ ครู อาจารย์เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ควรถือปฏิบัติตามหลักคุณธรรมดังกล่าวเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ สถาบันวิชาชีพครูจะได้มีความเจริญก้าวหน้า สังคมและประเทศไทยจะได้มีความเจริญรุ่งเรืองตลอดไป

นอกจากหลักธรรม 4 ประการดังกล่าวมาแล้ว ผู้บริหาร ครู อาจารย์และเจ้าหน้าที่ในสถาบันการศึกษา ยังต้องประพฤติและปฏิบัติตามหัวข้อธรรมดังกล่าว เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ และนักเรียน อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การเรียนการสอนก็จะต้องจัดตามความมุ่งหมายของรัฐ

การศึกษาตามนัยแห่งแผนการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2520 เป็นกระบวนการต่อเนื่องกันตลอดชีวิต เพื่อมุ่งสร้างเสริมคุณภาพของพลเมืองให้สามารถดำรงชีวิตและทำประโยชน์แก่สังคม โดยเน้นการศึกษาเองสร้างเสริมความอยู่รอดปลอดภัย ความมั่นคงและความผาสุกร่วมกันในสังคมไทยเป็นประการสำคัญ จึงได้กำหนดความมุ่งหมายของการศึกษาไว้ 9 ข้อ

ความมุ่งหมายของการศึกษา 9 ข้อ เน้นเรื่องคุณธรรม จริยธรรม และคุณลักษณะที่ดีงามของบุคคล เพื่อสร้างเสริมคุณภาพของพลเมือง ซึ่งอาจสรุปเป็น คุณลักษณะของคนไทยที่มีความจำเป็นจะต้องปลูกฝังให้ถึงพร้อมในสถานการณ์ปัจจุบัน ดังนี้



คุณลักษณะของครูที่ดี 10 ประการ


       1. ความมีระเบียบวินัย หมายถึง ความประพฤติ ทั้งทางกายและวาจาและใจ ที่แสดงถึงความเคารพในกฎหมาย ระเบียบประเพณีของสังคม และความประพฤติที่สอดคล้องกับอุดมคติหรือความหวังของตนเอง โดยให้ยึดส่วนรวมสำคัญกว่าส่วนตัว

       2. ความซื่อสัตย์สุจริตและความยุติธรรม หมายถึง การประพฤติที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่เอาเปรียบ หรือคดโกงผู้อื่นหรือส่วนรวม ให้ยึดถือหลักเหตุผล ระเบียบแบบแผนและกฎหมายของสังคมเป็นเกณฑ์

       3. ความขยัน ประหยัด และยึดมั่นในสัมมาอาชีพ หมายถึง ความประพฤติที่ไม่ทำให้เสียเวลาชีวิตและปฏิบัติกิจอันควรกระทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนและสังคม

       4. ความสำนึกในหน้าที่และการงานต่าง ๆ รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคมและประเทศชาติ หมายถึง ความประพฤติที่ไม่เอารัดเอาเปรียบสังคมและไม่ก่อความเสียหายให้เกิดขึ้นแก่สังคม

       5. ความเป็นผู้มีความคิดริเริ่ม วิจารณ์และตัดสินอย่างมีเหตุผล หมายถึง ความประพฤติในลักษณะสร้างสรรค์และปรับปรุงมีเหตุมีผลในการทำหน้าที่การงาน

       6. ความกระตือรือร้นในการปกครองในระบอบประชาธิปไตย มีความรักและเทิดทูน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หมายถึง ความประพฤติที่สนับสนุนและให้ความร่วมมือ ในการอยู่ร่วมกันโดยยึดผลประโยชน์ของสังคมให้มากที่สุด

        7. ความเป็นผู้มีพลานามัยที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ หมายถึง ความมั่นคงและจิตใจ รู้จักบำรุงรักษากายและจิตใจให้สมบูรณ์ มีอารมณ์แจ่มใสมีธรรมะอยู่ในจิตใจอย่างมั่นคง

        8. ความสามารถในการพึ่งพาตนเองและมีอุดมคติเป็นที่พึ่ง ไม่ไว้วานหรือขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นโดยไม่จำเป็น

        9. ความภาคภูมิและการรู้จักทำนุบำรุงศิลปะ วัฒนธรรม และทรัพยากรของชาติ หมายถึง ความประพฤติที่ แสดงออกซึ่งศิลปะและวัฒนธรรมแบบไทย ๆ มีความรักและหวงแหนวัฒนธรรมของตนเองและทรัพยากรของชาติ
        10. ความเสียสละ และเมตตาอารี กตัญญูกตเวที กล้าหาญ และความสามัคคีกัน หมายถึง ความประพฤติที่แสดงออกถึงความแบ่งปัน เกื้อกูลผู้อื่น ในเรื่องของเวลากำลังกายและกำลังทรัพย์


6 เทคนิคการอ่านหนังสือเตรียมสอบ


6 เทคนิคการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน

เทคนิค 6 ข้อ ที่ควรทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน ซึ่งอาจจะมีข้อสำคัญสำหรับน้องๆ คือ การเลิก Chat ไปสักระยะ (แหม ข้อนี้ทำร้ายจิตใจกันจริงๆ นะคะ) แต่ก็นั่นล่ะค่ะ แชทมากไปก็ไม่ดี น้องๆ ก็รู้อยู่ แชทพอให้หายเครียดก็คงเป็นทางสายกลางที่น่าจะทำนะคะ.. เอ๊า มาดูกัน ว่ามีเทคนิคอะไรน่าสนใจบ้าง

1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ
2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่
3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอดเลยว่า เราจะเป็นพยาบาลจะเรียนแพทย์ก็ต้องเขียนไว้เลยว่า ปีหน้าจะไปเหยียบแผ่นดินแพทย์ศิริราช-จุฬาอะไรทำนองนี้ เพื่อสร้างเป้าหมายให้ชัดเจน
4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม
5.เริ่มลงมืออ่านหนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัดก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง
6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใคร กำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้น้องๆ เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสีย

50 วรรณกรรมที่เยาวชนควรอ่าน


50  วรรณกรรมเยาวชนที่ควร   ได้อ่าน

              หนังสือแปลที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นวรรณกรรมเยาวชนระดับคลาสสิคและเด็กไทยควรจะมีโอกาสได้อ่าน  สกว. ได้รวบรวมไว้ 50 เล่ม หลายเล่มแปลเป็นไทยแล้ว  บางเล่มพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง  และบางเล่มอาจเป็นหนังสือในดวงใจของใครหลายคนที่ยังคงอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้เบื่ออยู่จนทุกวัน    
เชื่อว่าทุกเล่มมีคุณค่าพอที่คุณ ๆ ควรจะมีโอกาสได้อ่าน 

1.   The Adventures of Huckleberry Finn  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  การผจญภัยของฮัคเคิลเบอรี่ ฟินน์ 
2.   Alice's Adventures in Wonderland   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  อลิสในแดนมหัศจรรย์  
3.   Around the World in Eighty Days   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  80 วันรอบโลก  
4.   Black Beauty  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ม้าแสนรู้   
5.   The Call of the Wild แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ เสียงเพรียกจากพงพี
6.   The Catcher in the Rye  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ทุ่งฝัน
7.   Charlie and the Chocolate Factory แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ชาลีกับโรงงานช็อกโกแล็ต
8.   Charlotte's Web  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  แมงมุมเพื่อนรัก
9.   Cheaper by the Dozen  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เหมาโหลถูกกว่า  
10. Chitty Chitty Bang Bang  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ รถวิเศษ
11. A Christmas Carol  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  กำนัลแห่งคริสต์มาส
12. Daddy Long Legs แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ขวัญใจของคุณพ่อ
13. Don Quixote : The Picture Readers Edition แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ดอน กีโฮเต้ ฉบับอนุบาล  
14. Emil and the Detectives  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เอมิล ยอดนักสืบ
15. The Fairy Tales of Grimm's Brothers  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เทพนิยายของกริมม์ 
16. The Fairy Tales of Hans Christian Andersen  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เทพนิยายของแอนเดอร์สัน
17. The Fairy Tales of Oscar Wilde   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เทพนิยายของออสคาร์ ไวลด์
18. The Fairy Tales of Lev Tolstoy  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  นิทานตอลสตอย  
19. Gulliver's Travels แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  กัลลิเวอร์ผจญภัย
20. Harry Potter and the Philosopher's Stone   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  แฮรี่ พ็อตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์
21. Heidi  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ไฮดี้ 
22. The Hobbit   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เดอะ ฮอบบิท
23. The Human Comedy  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ความสุขแห่งชีวิต
24. The Jungle Book  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เมาคลีลูกหมาป่า
25. King Arthur and His Knights  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  อัศวินแห่งกษัตริย์อาเธอร์
26. The Lion, The Witch and the Wardrobe  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เมืองในตู้เสื้อผ้า  และ  ตู้พิศวง
27. Little House in the Big Woods  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  บ้านเล็กในป่าใหญ่
28. Little Lord Fauntleroy   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ชายเล็ก,  มาแต่กระยาหงัน และ ลอร์ดน้อยฟอนเติ้ลรอย 
29. Le Petit Nicola  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  หนูน้อยนิโคลา
30. Le Petit Prince   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เจ้าชายน้อย
31. Mary Poppins  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  แมรี่ ป๊อปปินส์
32. Les Misrables  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  เหยื่ออธรรม
33. My Sweet Orange Tree   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ต้นส้มแสนรัก 
34. The Neverending Story   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  จินตนาการไม่รู้จบ
35. Peter Pan  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ปีเตอร์ แพน
36. Pinocchio   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ตุ๊กตาเนรมิต
37. Pippi Long Stocking  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ปิ๊ปปี้ ถุงเท้ายาว
38. Platero and I  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  แพลทเทอโร  และ  ฉันกับลา ปลาเตอโร่
39. The Railway Children   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  รอพ่อยามยาก
40. Robinson Crusoe   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  โรบินสัน  ครูโซ
41. The Secret Garden   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ในสวนศรี 
42. The Tale of Peter Rabbit  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  กระต่ายน้อยปีเตอร์
43. Tarzan  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ทาร์ซาน
44. The Thousand and One Nights   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  อาหรับราตรี
45. The Three Musketeers  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ทแกล้วทหารสามเกลอ
46. Uncle Arthur's Bedtime Stories  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ชั่วโมงของเด็ก และ เรื่องเล่าของลุงอาร์เธอร์
47. Watership Down  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  ทุ่งวอเตอร์ชิพ
48. The Wind in the Willow  แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  สายลมในดงหลิว
49. Winnie-the-Pooh   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  วินนี่ เดอะพูห์  และ  หมีปุ๊กลุกผจญภัย 
50. The Wonderful Wizard of Oz   แปลเป็นไทยแล้วในชื่อ  พ่อมดแห่งเมืองมรกต และ พ่อมดมหัศจรรย์แห่งอ๊อซ

การวิจารณ์


ความหมายของการเขียนวิจารณ์
       การเขียนวิจารณ์ คือ การค้นหาข้อดีและข้อไม่ดีของเรื่องที่จะวิจารณ์ชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง พร้อมทั้งเสนอแนวทางแก้ไขให้ดีขึ้น  เป็นการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์ลักษณะของการวิจารณ์
         1. การวิจารณ์เป็นการถ่ายทอดความคิดเห็น ชี้จุดเด่น จุดด้อยตลอดจนความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ เช่น ผลงานด้านศิลปกรรม งานวรรณกรรม ข่าวสารบ้านเมือง เหตุการณ์ในสังคม เรื่องราวของบุคคล เป็นต้น อย่างสมเหตุสมผล มีข้อมูลสนับสนุนความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอคติต่อสิ่งที่วิจารณ์ เช่น หนังสือที่เราจะวิจารณ์นั้นมีอะไร ให้เนื้อหาสาระแก่ผู้อ่านมากน้อยเพียงใด เป็นต้น
        2. เป็นข้อเขียนที่ชัดเจนในการบอกให้ผู้อ่านทราบถึงรายละเอียดของสิ่งนั้น ดังนั้นผู้วิจารณ์ต้องมีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับเรื่องที่วิจารณ์เป็นอย่างดี เช่น การวิจารณ์วรรณกรรม จะต้องรู้ว่าเป็นหนังสือประเภทใด ใครเป็นผู้แต่ง มีเนื้อเรื่อง วิธีการแต่ง การใช้ภาษาเป็นอย่างไร เป็นต้น แล้วจึงสามารถวินิจฉัยคุณค่าของสิ่งที่จะวิจารณ์ได้ว่าดีหรือไม่อย่างไร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านในการตัดสินใจ เลือกชม เลือกซื้อ เลือกอ่านสิ่งนั้น
       3. เป็นข้อเขียนที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย น่าอ่าน ทำให้ผู้อ่านติดตามอ่านจนจบ   ใช้ถ้อยคำอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช้ถ้อยคำในเชิงประจาน หรือโจมตีผู้เขียนอย่างรุนแรง นอกจากนี้ บทวิจารณ์ที่ดีจะต้องให้ความรู้ ความคิด ข้อเสนอแนะ แก่ผู้อ่าน ชี้ให้เห็นคุณค่าพิเศษที่อยู่ในงานเขียนเรื่องนั้น
โครงสร้างของบทวิจารณ์
      1.  ชื่อเรื่อง (Tlttle)  ควรตั้งชื่อเรื่องที่เรียกร้องความสนใจของผู้อ่านและสื่อความหมายได้ชัดเจน  เช่น ตั้งชื่อตามชื่อหนังสือที่ต้องการวิจารณ์ ตั้งชื่อตามจุดมุ่งหมายของเรื่อง ตั้งชื่อด้วยการให้ประเด็นชวนคิด 
ชวนสงสัย เป็นต้น
      2.  ความนำหรือประเด็นที่จะวิจารณ์ (Lead or Issue)  หรือบทนำ  เป็นการเขียนนำเกี่ยวกับเรื่องที่จะวิจารณ์ เช่น ถ้าเป็นการวิจารณ์วรรณคดี  ต้องบอก ชื่อวรรณคดี ผู้แต่ง ประเภท ความเป็นมาของเรื่อง และอาจเขียนอธิบายและจูงใจที่ทำให้ผู้วิจารณ์สนใจวรรณคดีเรื่องนี้
     3.  เนื้อเรื่อง (Body)  เป็นส่วนแสดงความคิดเห็นและรายละเอียดในการวิจารณ์ โดยนำเสนอจุดเด่น และจุดบกพร่องของเรื่องอย่างมีหลักเกณฑ์และมีเหตุผล หากต้องการเล่าเรื่องย่อของวรรณคดีหรือวรรณกรรม ที่นำมาวิจารณ์ ควรเขียนเล่าเรื่องอย่างสั้นๆ เพราะการวิจารณ์ไม่ใช่การสรุปเรื่อง แต่เป็นการแสดงความคิดเห็นของผู้วิจารณ์ที่มีต่อวรรณคดีหรือวรรณกรรมเรื่องนั้น ผู้เขียนต้องการสื่อความหมายอะไรมายังผู้อ่านหนังสือ และสื่อให้ชัดเจนหรือไม่ อย่างไรถ้าประเด็นในการวิจารณ์มีหลายประเด็น ควรนำเสนอตามลำดับ 
เพื่อให้ผู้อ่านบทวิจารณ์เข้าใจง่ายไม่สับสน ในกรณีที่วรรณคดีหรือวรรณกรรมเรื่องนั้นมีจุดเด่นและจุดด้อย ควรเขียนถึงจุดเด่นก่อนแล้วจึงกล่าวถึงจุดด้อย เพื่อให้เกียรติผู้เขียน และแสดงให้เห็นว่า
การวิจารณ์ คือการสร้างสรรค์ไม่ใช่การทำลาย
       4. บทสรุป (Conclusion) เป็นย่อหน้าสุดท้ายของบทวิจารณ์ เป็นการเขียนสรุปความคิดทั้งหมดที่วิจารณ์และให้แง่คิด หรือข้อสังเกตที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน นอกจากนี้บทสรุปยังช่วยให้ผู้อ่านได้ทบทวนประเด็นสำคัญของเรื่องและความคิดสำคัญของผู้วิจารณ์ แม้ว่าผู้อ่านอาจจะไม่ได้อ่านบทวิจารณ์ทั้งบท แต่ได้อ่านบทสรุปก็สามารถทราบเรื่องของวรรณคดีหรือวรรณกรรมที่นำมาวิจารณ์ รวมทั้งความคิดเห็นของผู้วิจารณ์ที่มีต่อวรรณคดีหรือวรรณกรรมเรื่องนั้นได้ 


เทคนิคการพูด



เทคนิคการพูด
โดย...สุทธิชัย ปัญญโรจน์
อันวาจา                   พาที                         นี้เป็นเอก
จะปลุกเสก              ให้คนชอบ              ตอบสนอง
จะต้องพูด               ให้สนุก                   สุขสมปอง
ขอรับรอง                สำเร็จกิจ                 พิชิตชัย
นักพูดที่มีชื่อเสียงหลายคนทั้งในระดับประเทศและต่างประเทศ มักมีเทคนิคแตกต่างกัน
 อ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ เจ้าตำรับทอล์คโชว์เมืองไทยคนแรกๆ  อ.ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ มักจะเขียนสิ่งที่น่าสนใจหรือสิ่งที่ใช้ประกอบการพูดลงในกระดาษแผ่นเล็กๆ แทบทุกวัน เมื่อถึงเวลาแสดงทอล์คโชว์ ก็จะเปิดกล่องแล้วนำมาเขียนบทพูด
ชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย มักให้ความสำคัญเกี่ยวกับการเตรียมคำพูด ท่านจะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่ง เวลาอ่านเจอคำพูดของใครที่น่าสนใจหรือที่สามารถจะนำไปใช้ในอนาคตได้ ท่านก็จะจดเป็นข้อมูล แล้วท่านก็เขียนโครงเรื่อง ซ้อมพูด อัดใส่เทป เปิดฟังแล้วแก้ไข เมื่อแก้ไขจนท่านพอใจถึงได้นำออกไปพูด
เดล คาร์เนกี้ อาจารย์สอนด้านการพูดระดับโลกเคยซ้อมบทพูดต่อกองหญ้า ซ้อมพูดขณะถอนหญ้า หรืออดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ลินคอล์น ซ้อมพูดขณะอยู่บนหลังม้า ขณะที่ขี่ม้าเดินทางเป็นระยะทางไกลๆ
บางคนก็ฝึกพูดต่อหน้ากระจกแล้วก็ได้ผล ในวันนี้กระผมจึงอยากจะเขียนถึงเรื่องเทคนิคการพูด 
1.       การพูดที่ดีต้องเน้นไปที่ตัวผู้ฟังเป็นหลัก ควรพูดเรื่องที่ใกล้ตัวผู้ฟัง ควรพูดให้ตรงกับวัยของผู้ฟัง เช่น การพูดให้วัยรุ่นควรพูดเรื่องที่สนุกสนาน พูดให้วัยทำงานก็ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องอาชีพ ความก้าวหน้าในอนาคต  วัยชราหรือวัยสูงอายุ ก็ควรพูดเกี่ยวกับเรื่องศาสนา เรื่องของสุขภาพ
2.       การพูดที่ดีต้องยกตัวอย่างให้มากๆ บางครั้งเรื่องที่พูดจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับนามธรรมเพราะฉะนั้น นักพูดที่มีประสบการณ์สูง มักจะยกตัวอย่างประกอบการพูดมากๆ เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ ที่สำคัญการยกตัวอย่างประกอบควรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พูดด้วย ไม่ควรนำตัวอย่างที่ไม่เกี่ยวข้องมาประกอบกับหัวข้อเรื่องที่บรรยายถึงแม้ว่าตัวอย่างนั้นจะสนุกหรือเป็นตัวอย่างที่ดีก็ตาม
3.       การพูดที่ดีต้องสอดใส่อารมณ์ขัน โดยเฉพาะในสังคมไทยเรา นักพูดที่มีอารมณ์มักเป็นที่นิยม เป็นที่ศรัทธาต่อผู้ฟัง การมีอารมณ์ขันมักช่วยให้การพูดเกิดการผ่อนคลาย การมีอารมณ์ขันสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี การมีอารมณ์ขันมักจะสร้างเสน่ห์ให้แก่ตัวผู้พูดเอง
 4.       การพูดที่ดีต้องครบเครื่อง หมายถึง มีบทกลอนประกอบการพูดบ้าง มีเพลงประกอบการพูดบ้าง มีคำคมประกอบการพูดบ้าง ดังนั้นผู้รักที่จะเป็นนักพูดควรอ่าน ควรท่อง บทกลอน คำคม ควรฝึกร้องเพลงประกอบการพูด เพื่อให้การพูดของตนเกิดความหลากหลายผู้ฟังจะได้ไม่เบื่อหน่ายแต่จะสนุกเมื่อได้ฟังเราพูด
5.การพูดที่ดี ควรมีน้ำเสียงต่างๆประกอบการพูดตามสถานการณ์ต่างๆ ถ้อยคำบ่งบอกถึงความหมาย แต่น้ำเสียงก่อให้เกิดการหวั่นไหวได้ เช่น เราไล่สุนัข  ไป ไป ไป ด้วยเสียงเบาๆ สุนัขมักไม่กลัวแต่กลับเดินมาหาเรา แต่ถ้าเราเรียกสุนัข มา มา มาเนี่ย ด้วยเสียงดัง สุนัขมักกลัวกลับไม่มาหาเรา เพราะอะไรครับ ก็เพราะน้ำเสียงของเรานั่นเอง  
7. การพูดที่ดี ต้องเป็นตัวของตัวเอง  เราอาจจะประทับใจนักพูดคนใดก็ตาม  เราอาจจะเรียนรู้จากนักพูดคนใดก็ตาม เราอยากเป็นเหมือนใครก็ตาม แต่สุดท้าย เราต้องเป็นตัวของเราเอง เราอาจจะเลียนแบบนักพูดคนใดก็ตามที่เราชอบ เช่น อาจารย์จตุพล ชมพูนิช เราเลียนแบบ อาจารย์จตุพล ชมพูนิช ได้เหมือนที่สุด เราก็เป็นที่สอง ดังนั้น จงเป็นตัวของตัวเอง แล้ว คุณจะเป็นที่หนึ่งในแบบฉบับของคุณเอง 
                                                                                                                                              คนคิดน้อย            พูดมาก
                               คนพูดมาก             ทำน้อย
                               พูดดี                       มิได้หมายความว่าทำดี
                                พูดเก่ง                    ความว่าทำเก่ง
                                โง่หรือฉลาด        อาจทราบได้จาก  คำพูด